ศิลปินหนุ่มอายุ ๓๒ ปี ให้คำขยายความของคำว่า “เจิง” ไว้เป็นปฐมบทว่า คือชั้นเชิงการวาดลวดลายฟ้อนรำ ท่าทางในการต่อสู้ รวมไปถึงชั้นเชิงในการดำรงชีวิตให้มีความสุข
“จริงๆแล้ว เจิงเป็นเรื่องของการต่อสู้ล้วนๆ พอเพิ่มคำว่า 'ฟ้อน' ไปด้วยเป็น 'ฟ้อนเจิง' มันก็เป็นการแสดงท่าทางการต่อสู้ อวดกัน นำมาฟ้อนให้เกิดความสวยงาม...
การเรียนรู้เรื่องเจิงจะต้องอาศัยทักษะสองประการคือ การนำไปใช้งานในเรื่องของการต่อสู้ การป้องกันตัว หรือเอาตัวรอด และสอง ต้องเรียนการฟ้อนควบคู่กันไปด้วย จะเรียนอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ เพราะว่าเจิงที่นำมาใช้กับเจิงที่ใช้ฟ้อนจะเหมือนกับความแข็งและความอ่อนที่ประสานลงตัวกัน”
ศรัณเป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิด จึงไม่แปลกที่ตั้งแต่เด็ก เขาจะได้พบเห็นศิลปวัฒนธรรมประเพณีต่างๆของท้องถิ่นอยู่เสมอ แม้เมื่อเติบโตขึ้น ต้องเข้าไปเรียนในตัวเมือง แต่ก็เรียกว่า ได้ซึมซับวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมอยู่พอสมควร ซึ่งสิ่งนี้เป็นความสุขในชีวิต และคอยกระตุ้นให้เขาสนใจศึกษา ไต่ถามจากผู้อาวุโสอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นดนตรี ภาษาท้องถิ่น รวมทั้งเรื่องของ “ฟ้อนเจิง”
“เราเห็นตามงานปอยงานบุญต่างๆ สมัยนั้นยังเด็กก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่รู้สึกว่าเข้าท่าดี เห็นผู้ชายฟ้อนเป็นท่าทางแล้วคิดว่า สวยจังเลยนะ พอโตขึ้นมาก็เริ่มสนใจมากขึ้น ช่วงปี ๒๕๓๗-๒๕๓๘ มีการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นในเชียงใหม่ ทางภาคเหนือก็จะมีงานปี๋ใหม่เมือง (สงกรานต์) และงานยี่เป็ง (ลอยกระทง) เป็นงานบุญใหญ่ซึ่งเป็นที่รู้จัก เราเห็นการฟ้อนเจิงก็ตื่นเต้น ได้เจอสิ่งต่างๆเยอะขึ้น เลยเริ่มเสาะแสวงหาเรียนรู้จริงจัง จากที่เมื่อก่อนไม่มีโอกาสเพราะเป็นวิชาที่หาที่เรียนทั่วไปไม่ได้...


ช่วงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น เห็นเพื่อนๆในชมรมที่เขาตีกลองสะบัดชัย ฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิง ก็ให้เขาช่วยสอนเราบ้าง จากนั้นก็เริ่มออกไปหาครูตามหมู่บ้าน ได้เจอกับ พ่อครูคำ พรหมวงศ์ ที่บ้านท่าหลุก ตำบลสันผีเสื้อ ซึ่งเป็นครูคนแรกของผมที่สอนเรื่องฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิง แล้วก็นำความรู้เท่าที่ได้มาฝึกฝนด้วยตัวเอง สลับกับไปทำกิจกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้อง ให้ได้รู้เห็นอะไรมากขึ้น จนกระทั่งวันหนึ่ง มาเรียนที่สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาคพายัพ ได้เจอกับรุ่นพี่ชมรมคือ ครูแสบ-ธนชัย มณีวรรณ ผมก็ไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ กลุ่มเพื่อนๆก็จะช่วยกันสอน แล้วครูแสบก็พาไปหาครูเก๊าหรือครูอาวุโสในสายนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ คือ พ่อครูหล้า-คำสุก ช่างสาน ซึ่งผมก็ต้องทำพิธียกขันตั้งหรือขึ้นครู ฝากตัวเป็นลูกศิษย์สายวิชาอย่างเป็นทางการ ครูก็จะเต็มใจถ่ายทอดความรู้ได้เต็มที่ ไม่นานครูก็ปลดขันตั้ง หรืออนุญาตให้นำวิชาความรู้ไปใช้ได้ แต่ผมก็ยังอบรมต่อกับครูแสบและเพื่อนอยู่ครับ ก็ได้ไปปรนนิบัติรับใช้กันตามประสา ระหว่างนั้นก็ได้ไปแสดงที่ต่างประเทศเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมด้วย จนกระทั่งได้มาเรียนกับพ่อครูน้อย-ทอง วงศ์สรวย ซึ่งอยู่ที่บ้านเกิดผมนี่เอง ตอนนี้ท่านเสียชีวิตแล้ว ปัจจุบันผมก็ยังเรียนอยู่กับ พ่อครูทรงชัย สมปรารถนา แห่งสำนักดาบอารียเมตต์หริภุญไชย ซึ่งจะเน้นไปในทางการต่อสู้อาวุธโบราณ เน้นไปในทางการใช้งานและพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้”
หลักสำคัญของ “เจิง” ที่ผู้เรียนต้องศึกษามีอยู่ ๓ ส่วน ส่วนแรกคือ ขุม เป็นแผนผังการเดินหรือยุทธวิธีการย่างก้าวที่ต้องฝึกตั้งแต่แรกเริ่ม ถือกันว่าเป็นความลับขั้นสุดยอดของสายวิชา จะให้ผู้ใดล่วงรู้ไม่ได้ โดยขุมจะมีตำแหน่งการเดินต่างๆเป็นแผนผัง ตั้งแต่หนึ่งขุมเรื่อยไปจนถึง ๓๒ ขุม ทว่าแต่ละสายวิชาก็จะมีแบบแผนเป็นของตัวเอง และแต่ละขุมก็จะมีระดับชั้นของตัวเองอีก
ส่วนที่สอง คือ ตบมะผาบ คือการทำเสียงเลียนแบบประทัด ผาบในภาษาเหนือ หมายถึง ปราบ ดังนั้น การออกเสียงมะผาบจึงเป็นการทำให้ดูน่าเกรงขาม ข่มขู่คู่ต่อสู้ เป็นการตบไปตามเนื้อตัวให้เกิดเสียงดังและต้องดูสง่างาม คล่องแคล่วว่องไว ขณะที่ตบไปตามเนื้อตัวก็จะกล่าวคำไหว้ครูไปด้วย เหมือนเป็นการไล่ลม กระตุ้นกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นต่างๆให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะต่อสู้ หากเป็นสมัยก่อนที่คนมีวิชาอยู่ยงคงกระพัน จะเป็นเหมือนการร่ายเวทมนตร์คาถาไปตามเนื้อตัว
ส่วนที่สาม คือ แม่ไม้ลายเจิง ท่าทางหรือกระบวนการต่อสู้ต่างๆซึ่งมีหลากหลายท่า เช่น ท่าบิดบัวบาน ท่าสาง ท่าเกี้ยวเกล้า ท่าเสือลากหาง ท่าหมอกมุงเมือง แต่ละครูก็จะพลิกแพลงแตกต่างกันไป ทว่า ในสายเจิงของชาวล้านนาแล้วจะมีบางท่าที่ละม้ายคล้ายคลึงกันหรืออาจใช้ร่วมกันได้ก็มีเช่นกัน
สำหรับท่าแม่ไม้ลายเจิงที่ถือว่าเป็นท่ามาตรฐานคือ ท่าบิดบัวบานกับท่าเกี้ยวเกล้า ซึ่งทั้งสองท่าจะเป็นการบิดหมุนข้อมือและแขนให้มีลักษณะเป็น “บ้วง” หมายถึงการเคลื่อนไหวมือให้โค้งเป็นวงกลมเหมือนบ่วงบาศ ขณะที่ต้องก้าวย่างเท้าให้มั่นคง ไม่สะเปะสะปะหรือเรียกว่า “บาท” ความแตกต่างของสองท่านี้อยู่ที่ท่าเกี้ยวเกล้าจะบิดหมุนขยายตัวมากกว่าท่าบิดบัวบานที่กระทำเพียงข้อมือ แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ เป็นท่าที่มีความสวยงาม อ่อนช้อย และยังเป็นเคล็ดวิชาชั้นสูงอีกด้วย
“การฟ้อนเจิงแต่ละครั้ง ก่อนลงข่วงหรือลานแสดง จะต้องไหว้ครูก่อน ขออนุญาตครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในบริเวณนั้น หลังจากนั้นถ้าจะฟ้อนเจิงอย่างเดียว ก็มักเริ่มจากตบมะผาบก่อน และตามด้วยท่าฟ้อนต่างๆ นอกจากฟ้อนเจิงแล้วก็จะมีฟ้อนดาบด้วย ส่วนใหญ่จะนิยมทำคู่กัน จริงๆแล้วมีอาวุธหลากหลายที่นำมาใช้ฟ้อนครับ นอกจากดาบก็มีหอก ง้าว ไม้ค้อนสองหัว”
ฟังดูเหมือนว่า การฟ้อนเจิงจะมีอยู่และเป็นไปเพื่อเป็นการแสดง ทว่า ภายใต้ท่าทางอันอ่อนช้อย กลับมีสิ่งอันเป็นประโยชน์ต่อตัวผู้ฝึกอย่างมาก
“การฟ้อนเจิงใช้การเคลื่อนไหวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเอี้ยว การหมุน การกระโดดโลดเต้น การย่อการยืด มีการเดินบิดตัวไปมา เพราะฉะนั้นเวลาเราฟ้อน ก็เหมือนกับการออกกำลังกายไปในตัว...
การฟ้อนเจิงจะมีเรื่องของการยืดกล้ามเนื้อและการออกกำลัง ซึ่งจะเป็นคนละส่วนกัน การยืดกล้ามเนื้อนั้นไม้ได้เป็นการออกกำลัง แต่เป็นการทำให้ร่างกายเราได้ผ่อนคลายและมีการบำบัดกล้ามเนื้อต่างๆ ส่วนการออกกำลัง เราเน้นให้หัวใจและกล้ามเนื้อทำงาน ให้สรีระร่างกายได้ทำงานหมุนเวียนเพื่อปรับสมดุลร่างกาย ในการฟ้อนเจิงก็ต้องทำทั้งสองอย่างนี่ ดังนั้น จะเห็นว่า ถึงจะมองดูว่าการฟ้อนเจิงนั้นอ่อนช้อย แต่ในความอ่อนช้อยก็มีประโยชน์ใช้สอยอยู่ด้วย”

นอกจากเป็นการออกกำลังกายแล้ว การฟ้อนเจิงยังช่วยฝึกทักษะความคิดของผู้ฝึกอีกด้วย
“เราต้องใช้ไหวพริบปฏิภาณ ฝึกสติให้อยู่กับตัว ไม่ใช่ฝึกไปเลื่อนลอย แต่ฝึกให้เรากำหนดจุดที่จะต้องเคลื่อนไหว ซึ่งตรงนี้จะทำให้จิตนิ่งขึ้น ไม่ฟุ้งซ่าน เพราะจิตเราไปจดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่...โดยมากแล้ว ถ้าหากผมเกิดความเครียด จิตฟุ้งซ่าน จิตตก แล้วมาฟ้อนเจิง ก็กลับกลายเป็นการบำบัดอย่างหนึ่งนะครับ เพราะว่าจิตเรานิ่งขึ้น มีสมาธิ การที่ร่างกายได้เคลื่อนไหว จะมีพลังงานแผ่ซ่านไปทั่ว ทำให้เราผ่อนคลาย สมองก็ปลอดโปร่ง เพียงแค่ฟ้อนเจิงประมาณ ๕-๑๐ นาทีก็รู้สึกดีขึ้นมาก”
สำหรับผู้สนใจ ศรัณบอกว่า รูปร่างไม่เกี่ยว แต่ต้องขอให้มีใจที่จะทำเสียก่อนเพื่อจะได้มีกำลังใจเรียนต่อได้ เพราะการฝึกเจิงนั้นต้องใช้ไหวพริบมาก อีกทั้งเหนื่อยยากมากในช่วงเริ่มต้น อาจจะต้องเจอกับสภาพเจ็บปวดเมื่อย แต่เมื่อทำต่อเนื่องกันไปตลอด ร่างกายก็จะเกิดความเคยชินและปรับสภาพได้ในที่สุด ส่วนสถานที่ฝึกนั้น หากได้ทำในสภาวะแวดล้อมที่ดี ปลอดโปร่งก็จะทำให้จิตใจร่างกายดีไปด้วย แต่ในหมู่คนที่ฝึกศิลปะวิชานี้จริงจังแล้ว จะสามารถฝึกได้ในทุกสถานที่และในสถานการณ์หลากหลาย
ทุกวันนี้ ศรัณได้พยายามฟื้นฟูศิลปะแขนงนี้ให้กลับมาอีกครั้งในหมู่คนรุ่นใหม่ด้วยแนวทางที่รอบคอบและเป็นระบบ
“ช่วงหนึ่ง ศิลปวัฒนธรรมแบบนี้เคยซบเซาไปนานมาก ความรู้ไปตกค้างอยู่กับผู้เฒ่าผู้แก่ ที่ล้มหายตายจากไปไม่ได้รับการสืบทอดก็มาก ที่พอจะนิยมกลับคืนมาก็เป็นในเชิงการฟ้อนการแสดง ช่วงนี้เราจึงเน้นในเชิงของการใช้งานการต่อสู้ป้องกันตัวมากขึ้นครับ อยากทำให้ยั่งยืน เพราะรู้สึกเสียดายภูมิปัญญานี้ที่เปรียบเหมือนสิ่งปกป้องรักษาบ้านเมืองมาแต่โบราณ การปล่อยทิ้งไว้ก็เกรงจะสูญหายเสื่อมถอยไป แต่จะให้ขยายความแล้วรีบเผยแพร่ ก็เป็นดาบสองคมด้วยเช่นกัน ก็ต้องทำแบบค่อยเป็นไปให้มีความรอบคอบ”
เพราะเป็นศิลปวัฒนธรรมที่ตกทอดกันมายาวนาน “ฟ้อนเจิง” จึงกลายเป็นมรดกล้ำค่าที่คนรุ่นใหม่ควรรักษาไว้อย่างรู้คุณค่าแท้จริง
ข้อมูลจาก http://www.sakulthaionline.com/?q=magazine/ศรัณ-สุวรรณโชติ


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น